ลูกหนัง ศีตลา : จาก #แบนลูกหนัง สู่ "การให้อภัยตนเอง" กลับไปสานฝันที่เกาหลีใต้ – บีบีซีไทย

ที่มาของภาพ, Thai News Pix
ลูกหนัง-ศีตลา วงษ์กระจ่าง เตรียมกลับไปเกาหลีใต้อีกครั้ง ต้นปี 2566
หญิงสาววัย 24 ปี ในเบลเซอร์สีน้ำตาล นั่งอยู่ตรงหน้าทีมข่าวบีบีซีไทย ณ ห้องอาหารแห่งหนึ่งที่ร้างคนในช่วงกลางวัน ทำให้ทุกอารมณ์ความรู้สึกถ่ายทอดออกมาได้อย่างเด่นชัดผ่านบทสนทนาในวันนั้น
"ลูกหนัง" ศีตลา วงษ์กระจ่าง หรือที่สังคมเรียกว่า “ลูกหนัง ศีตลา” ให้สัมภาษณ์เปิดใจกับบีบีซีไทยถึง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต หลังกระแสแฮชแท็ก #แบนลูกหนัง เมื่อปลายปี พ.ศ. 2564 ทำให้การเดบิวต์ในฐานะไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลี วง H1-KEY (ไฮ-คีย์) ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
แม้ GLG ต้นสังกัด เดินหน้าเดบิวต์ ลูกหนังเมื่อ 5 ม.ค. 2565 แต่ผ่านมาได้เพียง 5 เดือน เธอก็ตัดสินใจถอนตัวออกจากวงอย่างเป็นทางการ และ #SITALA กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งบนทวิตเตอร์
หลังถอนตัวจากวง ลูกหนังเงียบหายไปหลายเดือน ก่อนออกมาให้สัมภาษณ์กับ เดอะ สแตนดาร์ด เมื่อต้นเดือน ธ.ค. 2565 เปิดใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเธอในห้วงเวลาที่ #แบนลูกหนัง เป็นที่ถกเถียงในสังคม
ส่วนวันนี้ ลูกหนัง มาพูดคุยกับบีบีซีไทย ถึงอนาคตที่เธอจะลุกขึ้น “สานฝัน” ของตนเองและ ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับคุณพ่อ อีกครั้ง โดยไม่หวาดหวั่นหากเกิด #แบนลูกหนัง ภาคต่อ
End of เรื่องแนะนำ
ลูกหนัง บุตรสาวของ ตั้ว-ศรัณยู วงษ์กระจ่าง อดีตพระเอกรุ่นใหญ่ผู้ล่วงลับ และ เปิ้ล หัทยา วงษ์กระจ่าง, เธอศึกษาจบปริญญาตรีมหาวิทยาลัย Ewha Womans University ในเกาหลีใต้ ก่อนเข้าสู่วงการบันเทิง เริ่มจากงานนางแบบ และเด็กฝึกหัด ด้วยบทบาทสุดท้ายกับไอดอลเกิร์ลกรุ๊ป วงไฮ-คีย์ ที่เธอถอนตัวออกมาเมื่อช่วงกลางปี 2565  
“การที่เราไม่ทำตามฝัน แล้วถ้าในอนาคตเราย้อนกลับมาดู เราจะเสียดายสิ่งที่เราไม่ได้ทำ” ลูกหนัง บอกกับบีบีซีไทย ก่อนเปิดเผยว่า กำลังพูดคุยกับหลายค่ายเพลงถึงการกลับไปเป็นศิลปินเคป๊อปในเกาหลีใต้อีกครั้ง
ที่มาของภาพ, GLG
ลูกหนัง ใน MV ซิงเกิลเปิดตัว H1-KEY
“ยังไม่ได้ไปเซ็นหรือว่าลงรายละเอียดว่าจะทำอะไร เพราะสุดท้ายเราก็จะค่อนข้างให้เกียรติเขาเป็นคนดูว่าเราเหมาะกับตรงไหน”
ลูกหนังกลับมาอยู่ไทยนับแต่กลางปี 2565 และเตรียมจะลัดฟ้ากลับไปเกาหลีใต้อีกครั้ง
“น่าจะหลังปีใหม่ เพราะไม่ได้อยู่กับครอบครัวในช่วงส่งท้ายปี มาประมาณ 4 ปีแล้ว”
เธอยังไม่ขอเปิดเผยว่า จะกลับเป็นเป็นศิลปินแบบไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปเหมือนตอนที่อยู่วงไฮคีย์ หรือจะมุ่งเป็นศิลปินเดี่ยว แต่เธอยอมรับและเตรียมใจแล้วว่า ไม่ว่าจะเปิดตัวออกมาในลักษณะใด จะต้องเผชิญกระแสต้านไม่มากก็น้อย
“ต่อให้ไม่ใช่เรื่องแฮชแท็ก ต่อให้เราเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันต้องมีคนไม่ชอบเรา เราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่า เราไม่ได้อยู่บนโลกนี้ให้ทุกคนชอบ” ลูกหนัง ตอบบีบีซีไทย ที่ถามว่าวิตกกับ “กระแสแบนลูกหนังภาคต่อหรือไม่”
“ประชาธิปไตยคือ ทุกคนมีสิทธิที่จะคิดเห็นยังไงก็ได้”
ก่อนหน้านี้ ลูกหนังเล่าให้สื่ออื่นฟังถึงชีวิตในการเตรียมตัวเป็นไอดอลเกาหลี ที่ต้องฝึกซ้อมอย่างหนัก เผชิญภาวะแข่งขันสูงที่กดดันทั้งสภาพร่างกาย และจิตใจ
เมื่อบีบีซีไทยถามว่าซ้อมหนักวันละกี่ชั่วโมง สาวไทยวัย 24 ตอบว่า “โห เริ่ม 9 โมงเช้า เสร็จตี 1 ถึงตี 2 อันนี้คือซ้อมแบบปกติ แต่พอจะเริ่มถึงวันที่ต้องเดบิวต์ มันก็จะเลยไปตี 3”
ที่มาของภาพ, SITALA WONGKRAJANG
ศีตลา เล่าว่า ซ้อมหนักทุกวัน
“ถามว่ามันเหนื่อยไหม มันเหนื่อยค่ะ แต่เราเป็นคนที่อยากทำอะไรแล้ว เราเป็นคนทำสุด… เฮ้ย เหนื่อยนะ แต่เรามีความสุขที่ได้ทำ มันเป็นเหนื่อยแบบสนุก เหนื่อยแบบ มันเป็นสิ่งที่เรารัก”
ชีวิตหลายเดือนในฐานะศิลปินเกาหลีในวง ไฮคีย์ ที่แทบทุกลมหายใจคือการฝึกซ้อม และสร้างความสุขให้ผู้ชม แม้ลูกหนังจะ “มีความสุข” แต่ความเครียดสะสม ทั้งจากกระแส #แบนลูกหนัง และความกดดันเรื่องงาน ทำให้ร่างกายของเธอถึงจุดที่เป็นโรคนอนไม่หลับ หรือ Insomnia โดยวันหนึ่ง “นอนได้แค่ชั่วโมงเดียว” ติดต่อกันกว่า 3 เดือน   
ตารางการใช้ชีวิตในช่วงนั้นของลูกหนัง ตามที่เธอบอกกับบีบีซีไทย มีดังนี้
8:00 น. – ตื่นนอน
9:00 น. – ซ้อมร้องเพลง เข้าฟิตเนส ฝึกเต้น
01:00 – 03:00 น. – กลับถึงที่พัก อาบน้ำ พักผ่อน
04.00 น. – ตื่น เพราะ เป็นโรคนอนไม่หลับ
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
“เฮ้ย เราเป็นถึงไอดอลนะ ทำให้ปล่อยให้ร่างกายเป็นแบบนี้" ลูกหนัง
“เราโฟกัสเรื่องงานมาก ๆ เรื่องอื่นน่ะ เราไม่อยากให้มากระทบกับอะไรเลย ฉะนั้น เราอ่อนแอไม่ได้ คือเราร้องไห้ครั้งเดียว เราทำให้เพื่อนทั้งวงเป็นห่วง เราร้องไห้แบบนิดเดียว เราทำให้คนรอบข้างคุณแม่ ทำให้ค่ายเป็นห่วง ฉะนั้นเราต้องเข้มแข็งมาก ๆ แล้วก็เดินหน้าต่อ”
แม้จิตใจจะมุ่งมั่น แต่ “ร่างกายมันไม่ไหวแล้ว มันเบลอ มันโฟกัสไม่ได้” จนท้ายสุด เธอตัดสินใจพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวช เพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับ 
“ต้องไปพบจิตแพทย์ จนพึ่งมารู้ว่า เออ เราก็อ่อนแอเหมือนกัน” โดย ลูกหนัง พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเกาหลีใต้นานราว 2 สัปดาห์ และเป็นห้วงเวลาที่เธอได้อยู่กับตัวเองจริง ๆ หลังผ่านการโหมงานหนัก และความเครียดสะสมต่อเนื่องหลายเดือน
ตลอด 2 สัปดาห์ในโรงพยาบาล เธอยังได้เห็นคนไข้อื่น ๆ ที่มีอาการหลากหลาย บางคนดูมีความสุขตลอดเวลา บางคนดูไม่รู้ตัวว่าอยู่ในโรงพยาบาล ด้วยผลข้างเคียงของยา
ณ ห้วงเวลานั้น ลูกหนัง ตระหนักว่า “เฮ้ย เราเป็นถึงไอดอลนะ ทำไมปล่อยให้ร่างกายเป็นแบบนี้ คือมีความคิดเลยว่า สิ่งแรกที่ควรจะทำคือดูแลตัวเอง ดูแลสภาพจิตใจ สภาพร่างกายให้ดี”
หลังออกจากโรงพยาบาล เหตุผลและความตระหนักรู้ในร่างกายของตนเอง จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ ลูกหนัง ตัดสินใจถอนตัวจากวงไฮคีย์ ขณะที่ ทางค่าย GLG แถลงการณ์ถึงการถอนตัวของเธอว่า "ทางค่ายได้มีการพูดคุยกับศิลปินมาอย่างยาวนาน กับทั้งศีตลาและสมาชิกร่วมวงคนอื่น ๆ ก่อนที่จะมีการตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วอย่างถี่ถ้วน" 
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
ที่มาของภาพ, H1-KEY Official
ภาพโปรโมทลูกหนัง ก่อนเดบิวต์ในวง H1-KEY
ที่มาของภาพ, Twitter
ที่มาของภาพ, Twitter
ที่มาของภาพ, H1-KEY Official
ลูกหนัง เดบิวต์ได้ 5 เดือน ก็ถอนตัวออกจากวงด้วย "สถานการณ์ส่วนตัว"
เหตุการณ์ชุมนุมปิดสนามบินของผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 24 พ.ย.-3 ธ.ค.2551 โดยผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนขบวนเข้าปิดท่าอากาศยานดอนเมือง ก่อนที่จะเข้าพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรรภูมิในวันที่ 25 พ.ย.
บริษัท ท่าอากาศยานไทย ประกาศปิดบริการสนามบินสุวรรณภูมิในคืนวันที่ 25 พ.ย. โดยเปิดให้เฉพาะเครื่องบินขาเข้าเท่านั้น และปิดการขึ้นลงทุกเที่ยวบินทั้งหมดในเช้ามืดวันที่ 26 พ.ย. ผู้โดยสารตกค้างรวมประมาณ 3,000 คน
สำหรับความเสียหายต่อเศรษฐกิจจากการปิดสนามบิน 2 แห่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินในเวลานั้นว่าสูงกว่า 2 แสนล้านบาท ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ออกรายงานเมื่อปี 2552 วิเคราะห์ผลกระทบทางตรงและทางอ้อมต่อธุรกิจท่องเที่ยว รวมความเสียหาย 2.9 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นภาคบริการ 1.2 แสนล้านบาทภาคขนส่ง 9 พันล้านบาท และ ภาคอุตสาหกรรม 6 พันล้านบาท
ที่มาของภาพ, Getty Images
พันธมิตรปิดสนามบิน
“คนพูดว่า ลูกหนังออกจากวงเพราะโดนไล่ ออกจากวงเพราะไม่อยากไปต่อ ออกจากวงเพราะสงสัยจะตามกระแส (แบน) ออกจากวงเพราะอดทนไม่ไหว” น.ส.ศีตลา กล่าว พร้อมเปิดเผยว่า การตัดสินใจออกจากวงนั้น คุณแม่ “ไม่รู้มาก่อน”
“ที่เราออก (จากวง) เราทำเพื่อตัวเอง เพราะร่างกายไม่ไหวจริง ๆ… ใจมันสู้ แต่ร่างกายมันไม่สู้น่ะค่ะ”
ในช่วงที่ #แบนลูกหนัง ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ มีการวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของลูกหนังในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อเหลือง รวมถึงการที่เธอได้ออกไปร่วมชุมนุม กปปส. หรือ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทย ช่วงปี 2557 ด้วย
เธอยอมรับว่า ตัดสินใจออกไปด้วยตนเอง เพราะ “อยากเห็นประเทศดีขึ้น และเชื่อของเราจริง ๆ” พร้อมยืนกรานว่า แม้คุณพ่อ ตั้ว-ศรัณยู จะเคยเป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ และปราศรัยในเวที กปปส. แต่ไม่ได้เป็นแกนนำในรอบนั้น
เวลาผ่านไป เติบโตขึ้น และใกล้เดบิวต์เป็นศิลปินเกาหลี ลูกหนังไม่คาดคิดว่า สิ่งที่เธอและคุณพ่อเคยมีส่วนร่วม จะกลายเป็นที่พูดถึงอย่างร้อนแรง ถึงขั้นมีคนเรียกเธอว่า “ฆาตกร” ในโลกสังคมออนไลน์ รวมถึงมีสื่อเกาหลีใต้บางสำนักพาดหัวด้วยคำนี้ เวลารายงานข่าวเกี่ยวกับตัวเธอ
“แต่เรารู้สึกว่า เราไม่ใช่ฆาตกรนะ เราไม่ได้ไปฆ่าใคร เราเป็นประชาชนคนหนึ่งที่ตอนนั้น อยากเห็นบ้านเมืองไปในทางที่ดี… แต่เราไม่คิดว่า มันไปส่งผลกระทบถึงขั้นที่มีคนบอกว่าเราไปทำให้ใครเสียชีวิต”
ที่มาของภาพ, INSTAGRAM/SITALAWONGK
"เราไม่ใช่ฆาตกรนะ เราไม่ได้ไปฆ่าใคร" ลูกหนัง
ลูกหนัง เล่าต่อว่า เธอสมัครบัญชีทวิตเตอร์เพื่อเข้าไปรับฟังความเห็นเกี่ยวกับตัวเธอ ทำให้เธอกลับมาทบทวนว่า “ความตั้งใจของเราที่อยากให้ประเทศดีขึ้น แต่ผลที่ออกมา คือมีคนไม่น้อยที่บอกว่า สิ่งที่เราตั้งใจตรงนั้น มันไปพรากความฝันเขา 
กระแส #แบนลูกหนัง สำหรับตัว ลูกหนัง-ศีตลา จึงเป็น “บทเรียนชีวิต” ที่ทำให้เธอเข้าใจว่า “โลกเป็นสีเทา ไม่มีอะไรดี 100% ไม่มีอะไรขาว 100% ดำ 100%”
และแปดปีที่ผ่านไป นับแต่การรัฐประหารของ คสช. สิ่งที่เธอเคยเชื่อในวันที่ออกไปขับเคลื่อนนั้น เมื่อเทียบกับสถานการณ์ความเป็นจริงทางการเมืองและสังคมในปัจจุบัน ทำให้เธอตั้งคำถามว่า “สิ่งที่เราคาดหวังในตอนนั้นว่า ประเทศมันจะดีขึ้น แต่ผลที่ตามมา… มันไม่ตรงกับที่เราคาดหวังหรือเปล่า”
ส่วนสิ่งที่เธออยากจะกล่าวต่อผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากการขับเคลื่อนทางการเมืองของเธอ และคุณพ่อ คือ “ขอโทษจริง ๆ ขอโทษที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้น”
“เราก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่มีความฝันเหมือนกัน ฉะนั้นเรารู้อยู่แล้วว่าการที่มันถูกขโมยฝัน หรือมันไม่ได้ไปตามฝันน่ะมันรู้สึกยังไง” ลูกหนัง กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า นัยน์ตาหลุบต่ำ
1 ปีที่ผ่านมา กับความรู้สึกเหล่านี้ ที่ทำให้เธอต้องพึ่งธรรมะ และการปฏิบัติธรรม เพื่อกล่อมเกลาจิตใจ ในที่สุด น.ส.ศีตลา มองว่า ถึงเวลาต้อง “ให้อภัยตัวเอง” เพื่อกลับมาทำตามความฝันที่ตั้งใจไว้อีกครั้ง ด้วยความตระหนักรู้ถึงการกระทำของตนเองในอดีต และทราบดีว่า ไม่สามารถ “ล้างอดีต” ออกไปได้
“พอให้อภัยตัวเอง  เราก็ต้องกลับมา ไม่ใช่จมอยู่อย่างนั้น แล้วก็แบบ โอ๊ย ฉันมันเป็นคนแย่มากอย่างนี้ หนูคิดว่าทำอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น”
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
"มันเริ่มต้นใหม่ได้เสมอค่ะ" ลูกหนัง
“ต่อให้มันยาก ทุกคนก็ต้องสู้เพื่อความฝันตัวเอง” เธอกล่าวพร้อมกำมือแน่น เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา
ส่วนผู้ที่ไม่สนับสนุนเธอนั้น ลูกหนังขอพิสูจน์ตัวเองผ่านการกระทำและผลงาน ด้วยความเชื่อว่า “สุดท้ายความดีที่เราทำน่ะคนก็ต้องเห็นน่ะค่ะ”
การเตรียมเดินทางกลับไปเกาหลีใต้ในช่วงต้นปี 2566 ของเธอ ไม่เพียงเป็นการสานฝันที่สะดุดกลางทางเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำตาม “สัญญา” ที่ให้ไว้กับคุณพ่อ ตั้ว-ศรัณยู ที่ล่วงลับไปแล้วราว 1 ปีครึ่ง ด้วยความเชื่อว่า “เขาก็ต้องรับรู้”
“คุณพ่อบอกตลอดว่า ท้อได้นะ แต่ถ้ารักมากจริง ๆ เราก็ต้องทำให้ได้สิ… ความรักน่ะ มันสำคัญนะ ถ้าเราไม่ได้รักกับสิ่งนั้นจริง ๆ  เราทำให้ตายยังไง มันก็ไม่มีความสุข” ลูกหนัง กล่าวด้วยเสียงสะอื้นไห้ และนัยน์ตารื้นน้ำ แม้ว่าเธอจะบอกกับบีบีซีไทยว่า “เทปนี้ เราจะไม่ร้องไห้” ก่อนจะถามเรื่องคุณพ่อ
อีกเหตุผลที่จะกลับสู่วงการศิลปินเกาหลี แม้จะทราบดีถึงอุปสรรคที่ต้องฝ่าฟัน และเสียงคัดค้านที่จะเกิดขึ้น คือความหวังว่า ตัวเธอจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่อื่น ๆ ให้ “ทำตามความฝัน”
“อยากจะเป็นเหมือนเด็กรุ่นใหม่คนหนึ่งที่อยากบอกต่อเพื่อน ๆ น้อง ๆ ว่า ต่อให้อุปสรรคมันจะยากแค่ไหนหรือสิ่งที่เราเคยทำผิดพลาด มันจะแย่แค่ไหน มันเริ่มต้นใหม่ได้เสมอค่ะ เราคิดอย่างนั้น”
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
“ต่อให้มันยาก ทุกคนก็ต้องสู้เพื่อความฝันตัวเอง” ลูกหนัง
และถ้าคุณพ่อ ตั้ว-ศรัณยู อยู่ตรงหน้าในเวลานี้ ลูกหนัง อยากกล่าวว่า “เขาเป็นพ่อที่ดีมาก ๆ ทำหน้าที่พ่อได้ดีที่สุดคนหนึ่ง… ไม่ว่าเขาจะงานหนักแค่ไหน เราก็ได้รับความรักจากคุณพ่อตลอด เราอยากเป็นอะไรเขาก็สนับสนุนตลอด”
“คงอยากบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง จะพยายามโตขึ้นเป็นคนที่ดูแลแม่ได้… จะสู้กับทุก ๆ ปัญหาที่เจอในชีวิตแบบที่คุณพ่อสู้มา” ลูกหนัง กล่าวปิดท้าย ก่อนจะปาดน้ำตาที่เริ่มรวยรินลงมา โดยที่ทีมข่าวไม่ได้ถามอะไรต่ออีกนานหลายนาที จนปิดกล้อง
© 2023 บีบีซี. บีบีซีไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อเนื้อหาของเว็บไซต์ภายนอก. นโยบายของเราเรื่องการเชื่อมต่อไปยังลิงก์ภายนอก. อ่านเกี่ยวกับแนวทางของเราในการติดต่อกับลิงก์ภายนอก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *